Pimdai.com พาร์ทเนอร์งานพิมพ์

5 องค์ประกอบที่ฉลากสินค้าควรมี (และหลายแบรนด์ลืม!)

5 องค์ประกอบที่ฉลากสินค้าควรมี (และหลายแบรนด์ลืม!)

5 องค์ประกอบที่ฉลากสินค้าหรือสติกเกอร์ควรมี

ฉลากสินค้า ไม่ใช่แค่กระดาษหรือสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนขวด กล่อง หรือถุงบรรจุภัณฑ์เท่านั้น แต่เป็น “หน้าแรก” ที่ลูกค้าเห็น เป็นตัวแทนของแบรนด์ และบางครั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจ “ซื้อ” หรือ “วาง” สินค้านั้นกลับลงชั้นวาง

สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่อาจกำลังเริ่มต้น หรือแม้แต่แบรนด์ที่อยู่มานานแล้ว การมี ฉลากสินค้าที่ครบและสื่อสารได้อย่างมืออาชีพ คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มยอดขายได้แบบไม่ต้องพึ่งโฆษณามากมาย

วันนี้เราจะพาคุณไปดู 5 องค์ประกอบสำคัญบนฉลากสินค้า ที่หลายแบรนด์มักมองข้าม แต่กลับเป็น “สิ่งจำเป็น” ที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากกว่าที่คิด

 5 องค์ประกอบสำคัญบนฉลากสินค้า
5 องค์ประกอบสำคัญบนฉลากสินค้า

1. โลโก้และชื่อแบรนด์ที่ชัดเจน

การมีโลโก้ที่ชัดเจน คือการ “ปักธง” ลงบนสินค้าของคุณให้คนจำได้

โลโก้ควรอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย เช่น มุมบนของฉลาก หรือกึ่งกลางฉลาก ขึ้นอยู่กับดีไซน์

เหตุผลที่ควรใส่โลโก้/ชื่อแบรนด์ชัดเจน:

  • ลูกค้าจะเริ่มจำแบรนด์ได้เมื่อเห็นซ้ำ ๆ
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ ดูมืออาชีพ
  • หากสินค้าคุณดีจริง ลูกค้าจะจดจำและกลับมาซื้อซ้ำได้ง่าย

Tip: หากยังไม่มีโลโก้ ลองเริ่มจากการใช้ชื่อแบรนด์ในแบบตัวอักษรที่อ่านง่ายและเป็นเอกลักษณ์ก็ได้เช่นกัน

2. ข้อมูลจำเพาะของสินค้า

ไม่ว่าคุณจะขายน้ำผึ้ง ขนมอบ แชมพู หรือสบู่แฮนด์เมด ข้อมูลที่ลูกค้าควรรู้คืออะไรบ้าง?

ตัวอย่างข้อมูลที่ควรมี:

  • ปริมาณสุทธิ (กรัม, มล., ชิ้น)
  • กลิ่น/รสชาติ/สูตร (เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ รสชาไทย สูตรไม่มีน้ำตาล)
  • วิธีใช้ (ถ้าจำเป็น เช่น สบู่ สมุนไพร)
  • ประเภทสินค้า (เหมาะกับใคร ใช้ตอนไหน)

ประโยชน์:

  • ลูกค้าเข้าใจทันทีว่าสินค้าคืออะไร ใช้ยังไง
  • ช่วยให้สินค้าดูมีมาตรฐานและโปร่งใส

ตัวอย่างฉลากดี:

“สบู่สมุนไพรสูตรเย็น ขนาด 100 กรัม – กลิ่นตะไคร้หอม เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย”

3. วันที่ผลิต / วันหมดอายุ

เชื่อไหมครับว่าสิ่งนี้ “หลายแบรนด์ลืม!” แม้จะไม่ใช่สินค้าที่เน่าเสียเร็ว เช่น เสื้อผ้าหรือของใช้ทั่วไป แต่ถ้าเป็นสินค้าประเภทอาหาร เครื่องสำอาง หรือของที่มีอายุจำกัด การใส่วันที่ผลิตและวันหมดอายุ จำเป็นมาก

เหตุผลที่ต้องมี:

  • เป็นข้อบังคับตามกฎหมายในหลายหมวดสินค้า
  • ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ
  • ป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัยและภาพลักษณ์

Tip: ควรใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป และไม่เบลอ

4. ข้อมูลติดต่อ / ช่องทางออนไลน์

คุณอาจขายของดีมาก แต่ถ้าลูกค้าประทับใจและอยากสั่งซื้อเพิ่ม แล้วหาไม่เจอว่า “ใครผลิต” ก็เท่ากับเสียโอกาสไปแบบน่าเสียดาย

ควรมีข้อมูลต่อไปนี้:

  • ชื่อบริษัท/ร้านค้า (หรือชื่อเจ้าของ ถ้าเป็นของแฮนด์เมด)
  • เบอร์โทรติดต่อ (ถ้ามี)
  • Social Media เช่น Facebook, LINE, Instagram
  • QR Code ที่สแกนแล้วพาไปยังเพจหรือเว็บไซต์

ทำไมถึงสำคัญ:

  • สร้างความเชื่อมั่นว่ามีตัวตนจริง
  • ลูกค้าหาทางติดต่อกลับได้ง่าย
  • เพิ่มโอกาสให้คนติดตามแบรนด์ในระยะยาว

5. ข้อความสร้างอารมณ์ หรือคาแรกเตอร์ของแบรนด์

อันนี้คือ “ลูกเล่น” ที่หลายแบรนด์ใหญ่ใช้เก่งมาก และแบรนด์เล็ก ๆ ก็ทำได้เช่นกัน!

ลองเพิ่ม “ประโยคสั้น ๆ” ที่ช่วยสื่อถึงอารมณ์หรือบุคลิกของสินค้า เช่น:

  • “ขนมโฮมเมดอบใหม่ทุกวัน ด้วยใจและเตาอบเล็ก ๆ ที่บ้าน”
  • “เพราะทุกวันคุณควรได้ใช้ของหอมที่ทำให้ยิ้มได้”
  • “Thank you for supporting small business 💛”

ทำไมควรมี:

  • ทำให้สินค้ามีเรื่องราว
  • เพิ่มความรู้สึกใกล้ชิด
  • ทำให้แบรนด์ดูเป็น “คน” มากกว่าแค่ “ของ”

แล้วควรออกแบบฉลากสินค้ายังไงให้สื่อครบ?

การมีข้อมูลครบไม่จำเป็นต้องทำให้ฉลากดู “รก” หรือ “เยอะ” เกินไป ลองใช้แนวคิด “Less but Clear” คือสื่อให้ครบในดีไซน์ที่สะอาด อ่านง่าย และสบายตา

แนวทางดีไซน์ฉลากสินค้าเบื้องต้น:

  • ใช้ฟอนต์ 2-3 แบบก็พอ
  • ขนาดฟอนต์ไม่ควรเล็กเกินไป โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญ
  • แบ่งพื้นที่เป็นโซน เช่น ด้านหน้า = โลโก้/ชื่อสินค้า | ด้านหลัง = รายละเอียด/วิธีใช้/ติดต่อ
  • ใช้สีที่เข้ากับแบรนด์ และสร้าง Mood & Tone ได้ชัดเจน

สรุป: ฉลากสินค้าที่ดี ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง “สื่อสาร” ได้

การออกแบบ ฉลากสินค้า ไม่ใช่แค่เรื่องของกราฟิกดีไซน์ แต่คือการวางแผนการสื่อสารระหว่างคุณกับลูกค้า เพื่อให้เขารู้ว่าสินค้าคืออะไร ทำจากอะไร น่าเชื่อถือไหม และจะกลับมาซื้อได้จากที่ไหน