สร้างบูธให้ปัง เริ่มต้นด้วย ป้ายสแตนดี้ (Standee) ที่คนมองแล้วต้องหยุดเดิน
เวลาไปเดินงานแฟร์หรืออีเวนต์ต่างๆ คุณเคยหยุดมองบูธไหนเพราะเห็น “ตัวการ์ตูนยืนเท่ๆ” หรือ “สแตนดี้คนดัง” ยืนเรียกลูกค้าไหม?
ใช่แล้วครับ นั่นแหละคือพลังของ ป้ายสแตนดี้ (Standee) ที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่พร็อพตกแต่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ อาวุธลับของการตลาดหน้าบูธ ที่ถ้าใช้ให้เป็น… ลูกค้าเข้าบูธไม่ขาดแน่นอน!
ในบทความนี้ เราจะพาไปดูว่า
- ป้ายสแตนดี้คืออะไร
- ทำไมถึงควรมีทุกครั้งที่ออกบูธ
- และเทคนิคเจ๋งๆ ที่ใช้ ป้ายสแตนดี้ ดึงลูกค้าเข้ามาหาแบรนด์คุณได้แบบเนียนๆ
ป้ายสแตนดี้คืออะไร?
ป้ายสแตนดี้ (Standee) คือป้ายตั้งพื้นแบบมีขาตั้ง มักทำจากวัสดุแข็ง เช่น PP Board, กระดาษลูกฟูก หรือโฟมบอร์ด นิยมพิมพ์ภาพขนาดเท่าคนจริง หรือภาพสินค้าชิ้นใหญ่ พร้อมข้อความหรือโปรโมชั่นเด่นๆ
จุดเด่นคือ ตั้งเดี่ยวๆ ได้โดยไม่ต้องพิง และสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะกับการใช้งานในงานแสดงสินค้า, งานอีเวนต์, ห้างสรรพสินค้า หรือหน้าร้าน

ทำไม “ป้ายสแตนดี้” ถึงดึงดูดลูกค้าได้ดี?
1. เห็นชัดก่อนถึงบูธ
ในพื้นที่ที่มีบูธเรียงกันหลายสิบร้าน การมีป้ายสูงๆ ชัดๆ ตั้งอยู่หน้าบูธ ทำให้แบรนด์ของคุณ “ถูกมองเห็นก่อน” โดยเฉพาะถ้าออกแบบให้ ภาพน่าสนใจ + ข้อความดึงดูด = ลูกค้าหยุดดูแน่นอน!
2. ช่วยสื่อสารแบรนด์ทันที
แค่เห็นสแตนดี้ ก็รู้เลยว่าแบรนด์คุณขายอะไร และสไตล์เป็นยังไง
ตัวอย่าง:
- สแตนดี้คนถือสินค้า + คำว่า “ลด 50%” → เข้าใจทันทีว่าสินค้าอะไร ลดราคาเท่าไหร่
- สแตนดี้คาแรกเตอร์แบรนด์ → ทำให้คนจำภาพแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
3. เป็นจุดถ่ายรูปและแชร์ต่อบนโซเชียล
ถ้าดีไซน์สแตนดี้ให้มีช่องให้คนสอดหน้า หรือออกแบบเป็นมุมถ่ายรูป ลูกค้าจะอยาก “หยุดเดิน” เพื่อถ่ายภาพ แล้วโพสต์ลงโซเชียลให้แบบฟรีๆ กลายเป็น เครื่องมือทำไวรัล ได้โดยไม่ต้องลงโฆษณาเลย
เทคนิคใช้ “ป้ายสแตนดี้” ดึงลูกค้าเข้าบูธ
1. เลือกขนาดให้เหมาะกับระยะสายตา
อย่าทำเล็กเกินไปจนถูกเมิน หรือใหญ่เกินไปจนเกะกะบูธ ขนาดยอดนิยมคือ 60×160 cm หรือ 80×180 cm — ใหญ่พอให้เห็นชัด แต่ยังย้ายสะดวก
Tip: ถ้าบูธมีพื้นที่แคบ เลือกทำเป็น “ครึ่งตัว” ก็ยังได้ผลลัพธ์ที่ดี
2. ใช้ภาพคน หรือคาแรกเตอร์แทนแค่ภาพสินค้า
จากงานวิจัยด้านการตลาด ภาพ “มนุษย์” จะดึงดูดสายตามากกว่าภาพสิ่งของ
ดังนั้นลองใช้สแตนดี้เป็นภาพพนักงานยิ้ม, อินฟลูเอนเซอร์, หรือมาสคอตของแบรนด์ เพื่อให้บูธดูเป็นมิตร น่าหยุดคุยมากขึ้น
3. ใส่ข้อความสั้น-ชัด-โดน
ข้อความบน ป้ายสแตนดี้ ควรอ่านรู้เรื่องภายใน 3 วินาที หลีกเลี่ยงการเขียนเยอะๆ แต่ใช้ประโยคที่กระชับ เช่น:
- “ลดพิเศษวันนี้เท่านั้น!”
- “แจกฟรี! สำหรับผู้ที่เข้าบูธ”
- “ถ่ายรูปกับสแตนดี้ ลุ้นรับของขวัญ”
Bonus: ใช้ฟ้อนต์ใหญ่ สีตัดฉากหลัง เพื่อให้ข้อความเด่นขึ้น
4. ใส่ลูกเล่นเพื่อให้คนมีส่วนร่วม
ถ้าคุณอยากให้คนแวะมาบูธ อย่าให้สแตนดี้แค่ “ยืนเฉยๆ”
ลองใส่ลูกเล่นแบบ:
- QR Code ที่สแกนแล้วรับของรางวัล
- ช่องสอดหน้าให้ถ่ายเซลฟี่
- ช่องใส่ใบปลิวหรือคูปองด้านหน้า
ลูกค้าจะรู้สึกว่า “มีอะไรให้เล่น” มากกว่ามองผ่านแล้วเดินไป
5. จัดวางตำแหน่งให้เหมาะกับจุดเดินผ่าน
ไม่ใช่แค่มี แต่ต้อง วางให้เป็น
- ถ้าคนเดินจากขวาไปซ้าย วางสแตนดี้ไว้ฝั่งซ้ายของบูธ
- ถ้าเป็นซุ้มเปิดสองด้าน วางคู่สแตนดี้ทั้งสองข้าง ให้เกิด “กรอบ” ดึงสายตา
- ถ้าตั้งหน้าร้าน ให้ยืนชิดขอบพอให้เดินเข้าได้ ไม่เกะกะทางเท้า
ตัวอย่างการใช้ป้ายสแตนดี้ให้ปังจริง
- แบรนด์ชาไข่มุก: สแตนดี้เป็นรูปเมนูใหม่ ถือแก้วชาน่ากิน พร้อม QR Code สำหรับสั่งล่วงหน้า
- ร้านอาหารเปิดใหม่: สแตนดี้เชฟยืนถือป้าย “ลด 50% เฉพาะ 100 คนแรก”
- บริษัทอสังหา: ใช้สแตนดี้คาแรกเตอร์ “บ้านพูดได้” ยืนอธิบายโปรโมชั่นหน้าโครงการ
ทุกเคสนี้ไม่ได้ใช้สแตนดี้แค่ “ให้ดูสวย” แต่ใช้เพื่อ สื่อสาร + เรียกลูกค้า + สร้างภาพจำ
สแตนดี้กับ SEO: ป้ายหน้าบูธที่แบรนด์ต้องคิดให้ลึกกว่าแค่ความสวย
ในมุมการตลาดดิจิทัล สแตนดี้อาจดูไกลตัว SEO แต่ความจริงคือมันเป็น “ต้นทางของคอนเทนต์” เลยก็ว่าได้
คนที่แวะถ่ายรูปกับสแตนดี้ → แชร์ลงโซเชียล → ติด Hashtag → คนตามมาหาเว็บไซต์ → Google เริ่มเห็นว่าแบรนด์นี้มีคนพูดถึงจริง
แถมถ้าใช้ ป้ายสแตนดี้ ไปโปรโมตเว็บไซต์, Line OA หรือ QR Code ที่ชี้กลับมาออนไลน์ ก็ยิ่งทำให้วงจรการตลาดสมบูรณ์มากขึ้น
สรุป: อย่ามองข้าม “ป้ายสแตนดี้” เพราะมันคือพนักงานหน้าร้านที่ไม่พูดแต่ขายได้
สแตนดี้ไม่ใช่แค่พร็อพ แต่คือ “นักขายเงียบๆ” ที่ยืนเรียกลูกค้าให้คุณตลอดทั้งวัน แค่คุณออกแบบให้โดน วางให้ถูก ใช้ให้เป็น มันจะเปลี่ยนบูธธรรมดาให้กลายเป็นบูธที่คนต้องหยุดมอง เพราะในการออกบูธ… การ “เรียกให้คนเข้ามา” คือด่านแรกที่คุณต้องชนะให้ได้ และ ป้ายสแตนดี้ คืออาวุธที่คุณไม่ควรมองข้าม