เดินผ่านแล้วต้องเหลียว ป้ายริมทางแบบไหนที่เรียกคนเข้าร้านได้จริง
เคยเดินผ่านร้านแล้วเผลอหยุดมองป้ายหน้าร้านแบบไม่รู้ตัวไหม แล้วสุดท้ายก็เดินเข้าไปซื้อแบบไม่ตั้งใจมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ถ้าเคย…คุณเพิ่งโดนป้ายริมทางทำงานใส่คุณแล้วล่ะ
ป้ายริมทางที่วางอยู่หน้าร้านหรือริมฟุตบาทนั่นแหละคือตัวช่วยสำคัญที่สามารถหยุดลูกค้าและเปลี่ยนจากแค่เดินผ่านให้กลายเป็นลูกค้าจริงๆ ได้
วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังว่าป้ายริมทางแบบไหนที่ทำให้คนเหลียวมอง และเรียกคนเข้าร้านได้แบบเห็นผล พร้อมเทคนิคออกแบบที่คุณเอาไปใช้ได้เลยทันที
ป้ายริมทางคืออะไร? สำคัญยังไงกับหน้าร้าน?
ป้ายริมทาง คือ ป้ายขนาดกลางถึงใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน หรือริมถนน จุดประสงค์หลักคือ
- บอกให้คนรู้ว่าร้านอยู่ตรงนี้
- ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่าน
- กระตุ้นให้ลูกค้าเดินเข้าร้านทันที
ในยุคที่คู่แข่งเยอะ คนเดินไว และร้านเรียงติดกันเต็มสองข้างทาง การมีป้ายริมทางที่น่าดึงดูดอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ร้านคุณโดดเด่นกว่าร้านอื่น

ป้ายริมทางที่ดีต้องทำอะไรได้บ้าง?
- หยุดคนที่กำลังเดินผ่าน
- สื่อสารสิ่งที่คุณขายได้ใน 3 วินาที
- กระตุ้นให้คนสนใจอยากเดินเข้าร้าน
- จำแบรนด์หรือร้านของคุณได้ง่ายขึ้น
ฟังดูเหมือนเยอะนะครับ แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้สามารถทำได้ผ่านแค่แผ่นป้ายแผ่นเดียว ถ้าออกแบบมาดี
ป้ายแบบไหนที่คนเหลียวมอง?
1. มีข้อความที่กระแทกใจ
หัวใจของป้ายริมทางคือ “ข้อความ” ถ้าจะให้คนหยุดอ่าน ต้องเป็นข้อความที่กระตุ้นความสนใจ
- ลด 70% วันนี้วันเดียว
- ข้าวแกงร้อน เริ่มต้น 35.-
- แก้วที่สอง 1 บาท
พยายามใช้ประโยคสั้นๆ ไม่เกิน 7 คำ ตัวใหญ่ ชัดเจน แล้ววางไว้ตำแหน่งบนสุดของป้ายหรือกลางป้าย
2. ใช้สีที่ ตัดกับพื้น และ สื่ออารมณ์
สีเป็นสิ่งที่ดึงสายตาได้ดีมาก ป้ายริมทางที่ดีควร
- ใช้สีที่ตัดกับฉากหลัง เช่น สีแดง-ขาว, ดำ-เหลือง
- สื่ออารมณ์ เช่น สีแดง = เร่งด่วน/ลดราคา, สีเขียว = สดชื่น/สุขภาพ
แต่อย่าใส่สีเยอะเกินไปนะครับ เอาแค่ 2-3 สีก็พอ เดี๋ยวจะกลายเป็นดูรกแทน
3. ฟอนต์ต้องใหญ่อ่านง่ายจากระยะไกล
จำไว้ง่ายๆ เลยว่า คนไม่ได้หยุดอ่าน แต่เดินผ่านแล้วมอง ดังนั้นข้อความในป้ายต้องใหญ่พอที่อ่านได้จากระยะ 3-5 เมตร
หลีกเลี่ยงฟอนต์หวัดๆ ฟอนต์ที่ตกแต่งเยอะเกิน เพราะจะอ่านยาก ใช้ฟอนต์ตัวหนา ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจทันทีดีที่สุด
4. ใส่ภาพให้เล่าเรื่องได้ทันที
ภาพที่ดีจะช่วยสื่อสารได้เร็วกว่าคำพูด ลองใช้ภาพสินค้า, คนกำลังใช้งาน, หรือแม้แต่ภาพที่เล่นกับอารมณ์ เช่น หิว กระหาย สวย ฯลฯ เพื่อช่วยให้คนเข้าใจว่า คุณขายอะไร และ เขาจะได้อะไร ถ้าเข้าร้านคุณ
ตัวอย่างป้ายริมทางที่ใช้งานได้จริง
ร้านชานมไข่มุก
- สีหลัก: ชมพูพาสเทล + ตัวอักษรดำ
- ข้อความ: “แก้วที่สอง 1 บาท”
- ภาพ: ชานมไข่มุกแก้วใหญ่น่ากิน
ร้านอาหารตามสั่ง
- สีหลัก: แดง + เหลือง
- ข้อความ: “ข้าวแกงเริ่มต้น 35.- อิ่มเร็ว ถูกจริง”
- ภาพ: จานข้าวแกงแบบร้อนๆ มีควัน
ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น
- สีหลัก: ขาวดำ
- ข้อความ: “SALE 50% ทุกตัว”
- ภาพ: นางแบบใส่เสื้อผ้าสวยๆ + QR Code ให้ตามไอจี
ข้อผิดพลาดที่เจ้าของร้านมักทำกับป้ายริมทาง
- ข้อความเยอะเกินไป อ่านไม่ทัน
- ใช้สีอ่อนหรือคล้ายพื้นหลัง จนมองไม่เห็น
- ตัวอักษรเล็ก อ่านไม่ได้จากระยะไกล
- ไม่มีจุดเด่น ไม่มีอะไรให้น่าจำ
- ตั้งป้ายในตำแหน่งที่มองไม่เห็น เช่น หลบมุม เสาไฟบัง
ตำแหน่งตั้งป้าย ก็สำคัญไม่แพ้ดีไซน์
ไม่ว่าป้ายจะออกแบบมาดีแค่ไหน ถ้าเอาไปวางผิดที่ก็เท่านั้นครับ ตำแหน่งที่แนะนำคือ
- วางระดับสายตา หรือเอียงเล็กน้อยให้มองเห็นชัด
- อย่าเอาไปวางในที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น เสา ต้นไม้ หรือของขายอื่นๆ
- ถ้าตั้งริมฟุตบาท ให้เผื่อพื้นที่คนเดินด้วย อย่าให้เกะกะ
ป้ายริมทาง = พนักงานเงียบๆ ที่ขายเก่งที่สุด
คุณอาจจะไม่รู้ว่า ป้ายริมทางดีๆ แค่แผ่นเดียว สามารถแทนพนักงานได้เลย เพราะมันขายของให้คุณได้ตลอดเวลา แบบไม่เหนื่อย ไม่ขอ OT ไม่ต้องหยุดพัก
ลองคิดดูสิครับ ถ้าลูกค้าเดินผ่านหน้าร้านคุณวันละ 500 คน แล้วมีแค่ 10% ที่หันมามองป้าย…คุณก็มีโอกาสเพิ่มลูกค้าใหม่ได้ทุกวันแล้ว
สรุป: อยากให้คนเหลียวมอง อย่าทำให้ป้ายธรรมดา
- ป้ายริมทางไม่ใช่แค่บอกว่าร้านอยู่ตรงไหน แต่คือเครื่องมือดึงลูกค้า
- ต้องมี “ข้อความกระแทกใจ” + สีที่ตัด + ฟอนต์ชัด + ภาพเล่าเรื่อง
- ตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย และอย่าลืมอัปเดตข้อความบ่อยๆ
ถ้าคุณอยากได้ ป้ายริมทาง ที่ออกแบบมาแล้วเรียกคนเข้าร้านได้จริง ไม่ต้องคิดเองให้ปวดหัว ทีม Pimdai พร้อมออกแบบและพิมพ์ให้ครบจบในที่เดียว